วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทองคำคืออะไร.....ทำไมถึงมีคนต้องการ



ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่ง มีสีเหลืองและมีความแวววาว ทั้งๆที่ทองคำมีจำนวนมาก และเป็นสินแร่ที่มีกระจายไปทั่วโลกในทุกภูมิภาค คุณค่าน่าจะมีความหมายน้อย เมื่อเปรียบกับเกลือที่มีเป็นจำนวนมาก และมีราคาที่ถูก แต่ไม่เป็นเช่นนั้น คำถามที่ว่าทำไมมนุษย์จึงอยากหามาครอบครอง หากท่านติดตามอ่านไปเรื่อยๆท่านจะเข้าใจ
ทองคำ หรือ Aurum ซึ่งมีคำแยกตามมาว่า Aura แปลว่าแสงที่เปล่งประกายออกมา นี่คือคุณสมบัติแรกของทองคำ การที่ทองมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีสีเหลืองอร่าม และไม่มีการเปลี่ยนรูป มีความแวววาว ทำให้มนุษย์นิยมนำมาเป็นเครื่องประดับ หรือนำมาเป็นเครื่องใช้ในแวดวงชั้นสูง การบุคคลที่มีสถานะเป็นผู้นำมีความชอบในทองคำ ทำให้มีการประพฤฒิและปฏิบัติตาม จึงเกิดการออกตามหาทองคำ เพื่อที่จะสนองความต้องการของผู้นำ หรือกษัตริย์ ดังเช่นในยุคก่อนคริสต์กาล


ภาพที่นำมาแสดง เป็นเครื่องประดับของคนชั้นสูงในสมัยอียิปต์โบราณ เราจะเห็นว่า บุคคลชั้นสูงมีความต้องการในทองคำอย่างมาก เพื่อที่จะเอาไว้บำเรอความสุขของตัวเอง นอกจากเป็นเครื่องประดับแล้วยังนำมาใช้เป็นเครื่องใช้อาทิ เก้าอี้ ถ้วย จานต่างๆ

หรือนำมาประดับพระศพของกษัตริย์ อย่างที่มีการขุดพบในอียิปต์ และในยุโรป สมัย มาซีโดเนีย ดังภาพที่นำมา

เราจะสรุปได้ว่าทองคำถูกนำมาสู่มนุษย์ด้วยคุณลักษณะทางกายภาพของมัน แต่ในทางที่จะนำมาเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิตนั้น ทองคำไม่มีค่าใดๆเลย ทองไม่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ ไม่สามารถนำมาเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ เป็นยารักษาโรคไม่ได้ และสุดท้าย ไม่สามารถนำมาเป็นที่อยู่อาศัย แล้วทำไมมนุษย์จึงมีความคลั่งไคล้ต่อโลหะทองคำนี้นัก ผมจะนำท่านเดินทางข้ามเวลาต่อมาสู่สิ่งที่มนุษย์ได้สมมุติขึ้นมา แล้วทำให้คนบนโลกนี้ ต้องทำสงครามต่อสู้กัน และมุ่งแต่แสวงหาสิ่งที่เรามีความเชื่อว่าเป็นสิ่งวิเศษ ในปี700 BC หรือคือในยุคหลังจากอียิปต์โบราณ ประมาณ 4000ปี ได้มีการคิดค้นการผลิต เหรียญทองคำขึ้นในแถบยุโรปตะวันออกใกล้กับ เอเชียไมเนอร์ เหรียญที่ผลิตออกมานี้ ผู้ผลิตมีความตั้งใจในตอนแรกที่จะใช้เพื่อความสุขของตัวเอง แต่ต่อมาได้ถูกนำมาใช้เป็นตัวกลาง ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกัน ประวัติของการผลิตเหรียญทองคำนี้ มีเรื่องเล่ากึ่งนิทานผสมเทพนิยายดังผมจะเล่าในต่อไปนี้;
ผู้ที่มาเล่าเรื่องที่น่าสนใจนี้คือนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกชื่อดัง Herodotus ที่มีอายุอยู่ในช่วง 500 BC เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อราวปี 700 BC มีเมืองหนึ่งชื่อ Lydia อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Phrygia กินอาณาเขตอยู่ใกล้กับทะเล Aegean และ Asia Minor เมืองลิเดียนี้มีกษัตริย์ปกครองที่สามารถสืบเชื้อสายย้อนไป 22 ชั่วคนมาจาก เฮอร์คิวลิส กษัตริย์ที่จะกล่าวถึงมีชื่อว่า แคนดอเลส ซึ่งรักภรรยาแสนสวยของเขามาก แต่ด้วยความชอบที่จะโอ้อวดและชอบแสดงให้คนอื่นอิจฉา มีวันหนึ่ง แคนดอเลสได้พาทหารคนสนิท ชื่อ ไกกิส มาแอบดูราชินีของตนเองอาบน้ำ แต่ราชินีสืบทราบถึงเรื่องนี้จึง มีความไม่พอใจ ได้เรียก ไกกิสเข้าเฝ้า และยื่นข้อเสนอว่า การที่มีชายใดเห็นร่างกายของราชินีจะต้องโทษประหาร หรือไม่ก็ต้องแต่งงานกับเธอเสีย แน่นอน ไกกิสต้องเลือกข้อหลังแน่นอน จึงได้กระทำการโค่นราชบัลลังค์ของ แคนดอเลส และปราบดาขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ชาวเมืองเกิดความไม่พอใจ จึงได้มีการหารือไปยังผู้เฒ่าที่รอบรู้ ให้กล่าวคำทำนายถึงอนาคต จากการที่ได้รับของกำนัลมีค่ามากมาย ผู้เฒ่าได้ให้คำทำนายที่เป้นผลดีแต่ได้กล่าวเตือนไว้ว่า จากการที่ ไกกิส ได้สังหาร แคนดอเลส ผลกรรมจะไปเกิดที่กษัตริย์ในราชวงศ์รุ่นที่ 5 จากนั้นมาเมืองลิเดียก็ได้มีความเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงยุคที่ 5 ของราชวงศ์ มีกษัตริย์ชื่อ Croesus กษัตริย์องค์นี้ไม่เก่งทางด้านรบเหมือนกับองค์ก่อนๆ แต่พระองค์มีความเชี่ยวขาญทางด้านเศรษฐศาสตร์มาก ท่านได้เล็งเห็นว่าการที่อาณาจักรของท่านจะขยายตัวได้นั้น ท่านต้องมีการสร้างระบบของเงินตราให้เป็นที่ยอมรับ ท่านจึงได้นำเอาระบบเงินเก่าๆที่บรรพบุรุษของท่านมาปรับปรุง ท่านได้เอาบรรดาสิ่งที่ชาวเมืองใช้เป็นตัวกลางเรียกว่า elector ที่เป็นส่วนผสมของเงินและทองคำ มาหลอมและสกัดให้เป็นทองบริสุทธิ์ และมาตีแผ่เป็นเหรียญ โดยจะมีรูปของ สิงห์โต และวัว อยู่บนหน้าเหรียญ และด้านหลังจะมีรอยตีตราอยู่

แต่คำทำนายเรื่องความล่มสลายของอาณาจักร ก็ได้กลับมาหลอกหลอน ครีซัส จึงได้มีการส่งคนออกไปสืบหาผู้รู้ในอาณาจักร โดยให้ทหารที่ออกไปตามหาถามบรรดาผู้รู้ด้วยคำถามเดียวกันว่า ในวันที่มีการนับอย่างแม่นยำว่า กษัตริย์ครีซัสเสวยอะไรอยู่ มีอยู่คนหนึ่งที่ตอบได้ตรงกับที่ครีซัสเสวยคือ เขาตอบว่า ครีซัสจะเสวยซุปที่ทำจาก เต่ากระดองแข็ง และต้มรวมกับเนื้อแกะในหม้อบรอนซ์..จากนั้น ครีซัสได้พยายามติดสินบนให้กับผู้เฒ่าพยากรณ์ โดยมีการส่งของกำนัลเป็นทองคำในรูปแบบต่างๆ ทำให้ผู้เฒ่าพยากรณ์มีความพึงพอใจ ในครีซัส และได้ถามครีซัสว่า อยากให้ทำนายอะไร ในช่วงนั้น อาณาจักรเปอร์เซียกำลังรุ่งเรือง และเป็นเสมือนหอกที่คอยทิ่มแทงอาณาจักรของครีซัส ครีซัสจึงอยากทราบว่าหากทำสงครามกับเปอร์เซีย จะสามารถมีชัยเหนือเปอร์เซียได้ไหม ผลก็คือครีซัสได้คำพยากรณ์ที่พอใจมาก คือผู้เฒ่าทำนายว่าอาณาจักรใหญ่จะล่มสลาย ครีซัสจึงเกณฑ์ผู้คนแล้วยกเข้าทำสงครามกับเปอร์เซีย ผลก็ได้ตรงตามคำทำนายของทั้งสองคำพยากรณ์ คือสมัยที่ ต้นรัชกาลของ ไกกิส มีคำทำนายแล้วว่าในรุ่นที่ 5 จะเสียอาณาจักร ก็เป็นจริงว่า ครีซัสได้พ่ายแพ้แก่เปอร์เซียอย่างราบคาบ และตรงตามคำทำนายของผู้เฒ่าพยากรณ์ ว่าอาณาจักรใหญ่จะล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นอาณาจักรของครีซัสเสียเอง


จากนั้นมาอีกกว่า 200 ปี ในปี 280 BC ได้มีกษัตริย์หนุ่มจากเมืองมาซีโดเนีย ชื่อ อเล็กซานเดอร์ ได้มีความสามารถที่จะทำสงครามแผ่ขยายอาณาเขตออกไปไกลถึง อินเดีย และลงไปถึง แอฟริกา ทำให้ต้องมีระบบเงินตราที่ใหญ่พอ เพื่อที่จะทำให้การค้าขายในอาณาจักรไม่ติดขัด แต่เนื่องจากได้ระบบเงินตรามาจากพระบิดา กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ซึ่งได้มีการทำเหรียญทองโดยได้อิทธิพลมาจากยุค กษัตริย์ครีซัส แต่บนเหรียญด้านหน้า จะมีการประทับตรารูปของ ซูส และด้านหลังจะเป็นรูปสิงห์โต และพอมาถึงสมัยของ อเล็กซานเดอร์ ท่านได้เปลี่ยนด้านหน้าจากซูสมาเป็น เฮอร์คิวลิส ซึ่งมีภาพคล้ายกับ อเล็กซานเดอร์

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สิ่งกังวลใจที่มีอยู่ในพ่อแม่ที่คิดจะส่งลูกไปนอก

ผมได้มีโอกาศสนทนากับผู้ปกครองหลายท่าน และได้ทราบถึงความกังวลที่มีอยู่ในใจของท่านเหล่านั้น ผมจึงอยากที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง มิใช่สิ่งที่เขาเล่ากันมาหรือเพื่อนไปเห็นมา ในฐานะที่ผมเคยเป็นประธานนักเรียนไทยของมหาวิทยาลัยที่อเมริกา


ข้อแรกที่ พ่อแม่จะกังวลเมื่อคิดจะให้ลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ คือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ยิ่งถ้าลูกเป็นลูกสาวด้วยแล้ว ความซีเรียสจะทวีคูณเป็นหลายๆเท่า ผมอยา่กบอกให้ทราบว่า ในทุกๆที่แม้แต่ในกรุงเทพหรือที่เชียงใหม่ โอกาศที่เด็กจะเกิดเหตุร้ายนั้นมีเท่าๆกัน แต่ที่เราจะต้องใส่ใจคือ ผู้รักษากฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และยุติธรรมแค่ไหน ผมขอยืนยันว่า ประเทศอเมริกาหรืออังกฤษ ตำรวจและยามประจำมหาวิทยาลัย ถือเอาความปลอดภัยของเด็ก เป็นเรื่องใหญ่มากๆ โดยที่เขาจะไม่ดูว่าเด็กนั้นเป็นชาติอะไร ผมเคยถูกเรียกตัวในเวลาดึกดื่น เกินเที่ยงคืน จากผู้ดูแลนักเรียนของมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะให้ผมจัดการไปรับนักศึกษาไทยท่านหนึ่ง ที่พบกับปัญหาเรื่องการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมือง เนื่องจากคนเอเซียจะมีหน้าตาที่ฝรั่งเขาดูอายุไม่ออก เลยคิดว่าพวกเราเป็นเด็กมัธยม ทั้งๆที่เป็นนักศึกษาปริญญาโท เวลาออกไปเที่ยวกลางคืนต้องจำไว้ว่า เราจะต้องพกพาบัตรประจำตัวที่มีวันเดือนปีเกิดไปเสมอ ผมต้องไปที่พักของคนไทยคนนั้น แล้วไปนำพาสปอร์ตมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูว่า เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายที่พกพาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะเห็นได้ว่าผู้บังคับกฎหมายของเขามีความเที่ยงธรรมมาก

ข้อที่สอง ความกังวลที่ได้ยินมาว่า การไปเรียนเมืองนอก เป็นของที่เด็กไม่เก่งและไม่สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศได้ นี่ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ โดยมีข้อพิสูจน์ว่า บรรดานักเรียนที่เรียนเก่งและสอบได้รับทุนรัฐบาลไทย เลือกที่จะไปเรียนต่ิอที่ต่างประเทศ แทนที่จะเรียนในประเทศไทย อีกทั้งในอดีต บรรดาลูกท่านหลานเธอ ต้องเดินทางไปเรียนยังต่างประเทศกันทั้งนั้น หากในเมืองไทยการศึกษาดีกว่าต่างประเทศแล้วไซร้ ทำไมต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน เหตุผลง่ายๆก็คือ ที่โน่นมีระบบที่ดีกว่านั้นเอง การศึกษาในประเทศที่ไม่พัฒนาทั้งๆที่เครื่องไม้เครื่องมือ และอาจารย์ที่เรียนจบกลับมาสอนก็มีอย่างเพรียบพร้อม เนื่องจากว่าในระบบยังมีผู้บริหารที่เป็นเหมือนเต่าล้านปี และมีความเข้าใจว่า ครูเป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา ไม่เหมาะสมที่นักเรียนหรือนักศึกษาจะไปตั้งคำถามท้าทาย หรือตั้งสมมติฐานว่าที่ครูสอนมานั้นผิด ท่านผู้ปกครองที่มีลูกฉลาด คงเคยได้รับฟังจากลูกบ้างว่า เขาเรียนไม่รู้เรื่อง และเขาไม่สามารถที่จะถามครูในห้องได้ เพราะโดนครูด่าว่า ทำไมถึงมีปัญหามากนัก คนอื่นในห้องไม่เห็นมีใครมีปัญหาเลย หรือบางทีก็บอกว่าลูกที่ตั้งคำถาม กำลังไปเบียดเบียนเวลาของนักเรียนคนอื่นอยู่ ให้ถามตอนสอนเสร็จ แต่พอครูสอนเสร็จ กลับไม่ให้โอกาศได้ถาม อย่างนี้ในประเทศเราจึงเกิดโรงเรียนสอนพิเศษขึ้นอย่างมากมาย และประสบความสำเร็จอย่างมากด้วย
ในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกา โรงเรียนและครูจะให้ความสำคัญกับความคิดของเด็ก เพราะเขามีความเชื่อว่า เด็กทุกคนมีศักยะภาพที่จะเติบโตขึ้นเป็น นักคิด นักเขียน หรือนักวิทยาศาสตร์ ครูจะต้องทำหน้าที่เสมือนโค้ช มิใช่ทำหน้าที่เหมือนแม่พิมพ์ เพราะหากเป็นแม่พิมพ์ ที่ครูทำได้ดีที่สุดก็คือ ทำให้เด็กสำเร็จออกมาได้ดีเท่าครูเท่านั้น เนื่องจากสิ่งที่ออกจากแม่พิมพ์ใดๆก็ตาม ไม่มีทางที่จะดีไปกว่าต้นแบบ หรือแม่พิมพ์นั้นๆ แล้วเด็กของเราจะเจริญขึ้นไปได้อย่างไร ในต่างประเทศ ครูจะให้เด็กๆได้ออกความคิดเห็น โดยไม่อนุญาตให้มีการลอกความคิดกัน แต่ครูเขาจะไม่มีการหัวเราะดูถูกเด็กว่าสิ่งที่เขาคิดมานั้น ดูโง่เง่าหรือดูไม่พัฒนา แต่เด็กจะต้อง defend ความคิดนั้นๆด้วยเหตุผลที่เขาเชื่อมั่น

ข้อที่สาม ความกังวลว่าหากลูกไปเรียนนอกแล้ว เขาจะไปติดนิสัยของคนชาติตะวันตกมา เรื่องนี้มักจะเป็นคำถามที่กวนใจมาก เพราะว่าลูกของท่านจะเป็นหรือไม่นั้น อยู่ที่ท่านเลี้ยงดูสอนสั่งมาแต่เล็กอย่างไร ถ้าท่านมีความรักและครอบครัวที่อบอุ่น ลูกของท่านก็จะไม่น่ามีปัญหา และอย่าลืมว่า ตอนที่เราส่งลูกไปเรียนนั้น เขายังเป็นแค่เด็กชาย เมื่อเขากลับมา ลูกของท่านจะมีคำว่านายนำหน้า ดังนั้นท่านต้องปฏิบัติกับเขาอย่างที่เขาเป็นผู้ใหญ่ มิใช่ไปติดภาพตอนที่ลูกกำลังเดินทางไป แล้วไปปฏิบัติกับเขาอย่างนั้น การที่เราสามารถเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ที่ผมว่าผู้ใหญ่นี้ มิใช่ตัวใหญ่นะ แต่มีความหมายว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และรู้จักว่าตัวเองต้องทำอย่างไร รู้จักคิดเป็น รู้จักค่าของเงินแลัรู้จักหาเงินใช้เอง นี่สิครับคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ ผมต้องปรบมือให้ มิใช่ใบปริญญาหรือคำว่าเกียรตินิยมตามต่อท้ายมา สิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยงแท้ เท่ากับความคิดที่ลูกจะได้รับมา และการที่ทำตนให้เป็นประโยชน์ของสังคม และต่อครอบครัว การรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้ที่มีพระคุณ นี่เป็นสิ่งที่สูงสุดในความคิดของผมครับ อาจจะมีหลายๆท่านที่เคยมีประสบการณ์ที่เมื่อ ลูกกลับจากต่างประเทศแล้ว เวลาพูดอะไรกับเขา จะได้รับการกระทำที่เชื่องช้า คล้ายกับว่าเขาไม่เคารพเหมือนตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ จึงไปกล่าวหาว่าเป็นเพราะ ลูกได้เอานิสัยของพวกฝรั่งตะวันตกมา
มีตัวอย่างอยู่หลายๆอันที่ ผมสามารถยกมาเล่าให้ฟัง ทางฝั่งตะวันตก เขาจะมีวัฒนธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อลูกอายุครบ 18 ปี พวกเขาจะถึงเวลาที่จะออกไปหาที่อยู่ใหม่ ส่วนหนึ่งจะไปเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องมีการย้ายออกจากบ้านไปอาศัยในหอพัก หากพวกเด็กไม่เลือกที่จะเรียน พวกเขาก็อยากออกไปทำงานหาเงิน เมื่อมีรายได้ เขาก็จะย้ายออกจากบ้าน เปรียบเสมือนลูกนกที่โตแล้ว ต้องออกไปหาที่ทำรังใหม่ วัฒนธรรมนี้ คนไทยจะไม่รู้สึกคุ้นเคย และคิดเสมอว่า ลูกจะต้องอยู่ในบ้านที่พวกเขาโตขึ้นมา แล้วเวลาพ่อแม่แก่เฒ่า จะได้อาศัียพึ่งพิง แต่ฝั่งเขาจะมีความคิดว่า หากลูกไม่ยอมออกไปอาศัยข้างนอก หรือแยกบ้านออกไป ลูกๆพวกนั้นจะเป็นพวกไม่เอาไหน เป็นพวกลูกแหง่ ไม่โตเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ของเขาอาจต้องอาศัยบรรดาจิตแพทย์ กันทีเดียว นี่เป็นการยกตัวอย่างที่ท่านผู้ปกครองต้องนำมาพิจารณา หากลูกเรามีพฤติการณ์อย่างนี้ เราก็เพียงแค่พูดให้เขาเข้าใจถึง รายได้และรายจ่ายที่จะต้องเกิดขึ้น หากเขาคิดจะออกไปอยู่ข้างนอก ผมมั่นใจว่าลูกเป็นคนฉลาด และสามารถคิดคำนวนได้ว่า อย่างไหนจะ productive มากกว่ากัน

ข้อที่สี่ และผมว่าบทความมันเริ่มจะยาวเกินไปแล้ว เลยขอเป็นข้อสุดท้ายในตอนนี้ เรื่องยาเสพติด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กังวลใจของท่านผู้ปกครองกันมาก เพราะว่าการที่ลูกอยู่ไกลหูไกลตา ความเป็นห่วงก็มีมากขึ้น จากที่ลูกได้ไปเรียนในโรงเรียน Boarding School ที่ต้องอยู่แบบประจำนั้น โรงเรียนเหล่านี้เขามีชื่อเสียง เพราะว่าเปิดมานานมาก เรื่องของการที่เด็กจากที่ต่างๆ เข้ามาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ก็แน่นอนจะต้องมีดีมีไม่ดี แต่มาตรการของที่นั่นเข้มและไม่อ่อนให้ใคร หากมีการจับได้ว่าเด็กมีการใช้ยาเสพติด เอาแค่สูบกัญชา เด็กคนนั้นก็ถูกไล่ออกทันที และยังมีการเชิญผู้ปกครองมาตำหนิ และถูกแบล็กลิสต์อีก ว่าคราวหน้าจะไม่สามารถเอาเด็กคนอื่นมาเข้าเรียนได้ มีอยู่กรณีหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆคือ เนื่องจากลูกผมเล่นเทนนิส และติดทีมของโรงเรียน แต่เป็นแค่ตัวสำรอง มีตัวจริงที่เล่นได้ดีกว่า และตัวจริงนี้มีอันดับอยู่ใน Junior Ranking ของประเทศสหรัฐ มีอยู่ครั้งหนึ่ง โรงเรียนต้องไปแข่งที่ต่างเมือง ไกลพอควรจากเมืองที่อยู่ พอไปถึงต้องไปรอเพราะว่าฝนตกหนัก เลยต้องย้ายสนามแข่ง พวกเด็กตัวทีม ไม่ค่อยอยากเล่นเพราะว่าจะมีการสอบ และอยากกลับมาทำงานที่อาจารย์สั่งไว้ พอถึงเวลาแข่งขัน ตัวจริงก็ลงแข่งแต่เล่นแบบไม่เต็มใจเล่น แกล้งทำให้ทีมแพ้ จะได้กลับเร็วๆ ทีมเจ้าบ้านที่เป็นคู่แข่งขันโดยอาจารย์ใหญ่ ไม่พอใจกล่าวหาว่าโรงเรียนของลูกไม่มีน้ำใจนักกีฬา และได้โทรฯกลับมาต่อว่าอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนลูก ผลคือนักกีฬาที่ลงแข่งขันในวันนั้นโดนไล่ออกจากโรงเรียนด้วยข้อหา Unsportman Conduct ทำให้นักเทนนิสมือหนึ่งที่กำลังจะจบและได้ทุนไปเรียนที่ Princeton University ต้องหลุดจากทุนการศึกษา ดูครับ ฝรั่งเขาซีัเรียสมากเกี่ยวกับการเป็นคนที่มีคุณภาพของเด็กของเขา ลองนี่เป็นประเทศไทยซิ คงมีคนออกมารับและยกโทษให้นักเทนนิสไปแล้ว ทำให้เด็กที่เป็นนักกีฬาคิดว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษ และความรู้สึกนี้จะตามตัวเด็กออกไปเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในสังคม ดังนั้น เด็กที่โตจากต่างประเทศมักจะมีคุณภาพมากกว่าเด็กที่โตในไทย นี่ไม่อาจใช้เป็นข้อสรุปได้นะแต่อาศัยที่ได้พบมาครับ

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ขอแจม



ขอเปล่งเสียงสวัสดีทุกท่าน ไม่ว่าจะอยู่ไกล หรือใกล้! วันนี้ขอจิ้มคีย์บอร์ดแนะนำตัวเองหน่อยนะคะ ตัวหนู เป็นลูกสาวคนโตของพ่อไก่ ก็หนูนี่แหละที่"งมๆ"bloggerกับคุณพ่อ จนร้านทองคุณไก่คลอดตัวออกมา และหนูก็เป็นแฟนตัวยงของบล็อคของคุณพ่อ ไม่รู้ว่าจะยงโย่ยงหยกยังไง แต่อย่างน้อยก็เปิดบล็อคคุณพ่อทุกครั้งที่เปิดคอมพิวเตอร์แหละ
ตัวหนูตอนนี้เรียนอยู่คณะสถาปัตยกรรม สาขาออกแบบตกแต่งภายใน ตอนนี้หนูอยู่หอ ที่จริงก็อยู่มาสาม สี่ปีแล้ว บล็อคของหนูจะเป็นเรื่องอะไรได้ ก็ไม่พ้นเรื่องชีวิตลูกสาวอยู่หอแหละค่ะ เรื่องจะเป็นยังไงในแนวไหน ก็ขอให้ช่วยกันติดตาม มีอะไรก็ส่งคำถามมาได้นะคะ จะไถตัวเองไปหาคำตอบให้ รับรองไม่มีหมกเม็ดชัวร์!!!

นักเขียนหน้าใหม่ ขอกล่าวสวัสดีทุกท่านครับ



หลังจากที่ผมได้เฝ้าติดตามบทความของคุณไก่หรือคุณพ่อของผมมาเสียนาน ตั้งแต่โพสแรก เมื่อเดือนหรือสองเดือนที่แล้ว คุณพ่อได้แชร์ความรู้ต่างๆให้ท่านผู้ที่ติดตามอย่างมากมาย ดังเช่น ความรู้เกี่ยวกับ ร้านทอง เกี่ยวกับการซื้อขายทองในอนาคต และการศึกษาต่อต่างประเทศ ขณะนี้ก็มีผู้ติดตามบล้อกร้านทองคุณไก่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆวัน ผมจึงขออนุญาตคุณพ่อ เพื่อจะเป็นนักเขียนในบล็อกร้านทองคุณไก่เช่นกัน โพสนี้ก็คงจะถือเป็นโพสอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผม ก็อยากจะกล่าวทักทาย สวัสดีผู้อ่านหลายๆคนที่ติดตาม blog ranthongkhunkai ครับ

สำหรับตัวผมสิ่งที่ผมสนใจ หรือจะเขียนนั้น คงจะเกี่ยวกับ การศึกษาต่อในต่างประเทศ ซึ่งตัวผมเองก็มีประสบการณ์โดยตรงในเรื่องนี้ ผมไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา กว่าหกปี ได้มีโอกาสใช้ชีวิตในหลายๆเมืองดังเช่น San Francisco, Philadelphia, Boston, และ Los Angeles (LA) ถ้าผู้อ่านท่านใดอยากจะรู้เรื่องไหนเป็นพิเศษ ก็อย่าลืม comments มาได้นะครับ หรือจะส่งคำถาม หรือข้อคิดเห็นมาได้ ที่ ranthongkhunkai [at] gmail [dot] com ครับ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Chiengmai, the most romantic city in the north of Thailand


Dear readers. I had visited the city of Chiengmai last month. I fell in love with this city right away. The people of this city is so friendly and their lives seem to be easier than people in Bangkok. I went to Chiengmai because I haven't been there for over 20 years. I'd like to visit the old temples and old buildings which are in the old section of the city. Like all the capital in the past, the inner city will be surrounded by the canal for the defense purpose. You can see the remaining of the ancient wall dated back over 500 years. The temples seemed to be the only kind of buildings that survived the attack from the other nations. I love to stroll in the inner city in the morning. There are many food stalls that we can experience our taste bud.

At night, the street in the inner city became one of the great outdoor market. People will take the side walk as their trading places. Youngsters will come out and use the street to perform their latest songs. Judging from the cost of living, to live in Chiengmai is cheaper than Bangkok for 40%.

If we have more than 2 days to explore the nearby region, I will recommend to travel north of the city toward Chieng Dao cavern. This is an old cavern that had been explored and well maintained by the monks. We will need a local guide to bring us in and out of this cavernous cave. Along the way to the cavern, we can visit the botanical garden and the former residence of the past queen of Rama the V, Chao Dararussmee. The house is over 300 years old and well preserved by the government.




The entrance fee is minimal and all will go to the foundation to preserve the house. In front of the house, there are a couple tree that were planted by the Royal family. The fruit, lygee, was so ripe and it had fallen from the tree but it seemed nobody dare to touch the ripe and juicy fruit. I had asked the officers about this and the answer was it was not right to touch the King's property without any prior consent. So my decision to taste one of this lygee was out of my mind. For your information, Chiengmai is a wonderful city that you must put in your travel book. The period of 3 days will be enough for you to get the essence of the northern of Thailand. The charm of Vieng Ping....the old name of Chiengmai.

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นวัตกรรมวาณิชย์ กับความคิดของเด็กๆบางคน




วันนี้ผมได้ไปร่วมอบรมเกี่ยวกับ นวัตกรรมทางธุรกิจในชื่อของโครงการ
นวัตกรรมวาณิชย์ ที่คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องเอามาเขียนลงในบล็อก เพราะว่าผมเห็นแนวโน้มในเด็ก ที่จะมาเป็นอนาคตของชาติ จึงเกิดความกังวล และอยากให้พวกเราในฐานะคุณพ่อ คุณแม่ หรือว่าที่ในอนาคต ช่วยกันดูแลและอบรมให้เด็กๆมีความนอบน้อมและถ่อมตน

เรื่องของเรื่องคือ ในห้องที่มีการอบรมจะมีเด็กมัธยม 5 จากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพ เนื่องจากที่คณะเปิดโอกาส ให้ทุกคนสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ เด็กทั้งหมดนี้ ได้แสดงความคิดเห็นร่วมต่างๆ เหนือกว่าผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมหลายท่าน แต่ระหว่างที่มีการพักเบรก เด็กเหล่านี้จะถือโอกาสเข้ามาสนทนากับอาจารย์และ พิธีกรต่าง โดยได้ยิงคำถามที่เจาะลึก และค่อนข้างเป็นความรู้ที่เฉพาะของท่านเหล่านั้น ผมได้ดูอยู่ตอนแรกๆก็น่าเอ็นดู แต่หลังๆคำถามได้เปลี่ยนไปในลักษณะที่ค่อนข้างก้าวร้าว หรือเป็นการถามเพื่อฉีกหน้าผู้ใหญ่ท่านนั้นๆ คำถามอาทิ ในเมื่อท่านพิธีกรหรืออาจารย์ เรียนจบที่ต่างประเทศแล้วทำไมกลับมาทำงานในประเทศไทย เป็นผม ผมไม่กลับมาให้โง่หรอก จะอยู่ทำงานที่โน่นให้ได้เงินเยอะๆก่อนแล้วค่อยกลับมา หรือหากเป็นอาจารย์บางท่านที่เป็นเด็กทุนรัฐบาล ได้รับคำถามว่า กลับมาทำไม เป็นผม หนีทุนแล้ว ไปทำงานอยู่ต่างประเทศดีกว่า ได้เงินมากๆแล้วค่อยกลับ ผมไม่ทราบว่าทำไมผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นถึง ไม่ได้อบรมถึงความกตัญญู ต่อแผ่นดินเกิด และมีคำถามที่ผมฟังแล้วสะอึกเลยคือ เป็นผม ..เด็กๆเหล่านั้น.. ผมไม่เอาทุนรัฐบาลไทยไปเรียนหรอก ผมไม่อยากเป็นหนี้รัฐบาล และผมไม่อยากเป็นอาจารย์ เพราะได้เงินน้อย ไม่พอกิน พวกผมอยากทำงานได้เงินเยอะๆ

ความเห็นของผมนะครับ ทำไม่เด็กซึ่งเรียนเก่ง และเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของชาติ ถึงมีความคิดแต่เรื่องเงิน หากพวกเราไม่เปลี่ยนความคิดของพวกเขา เมื่อโตขึ้น ประเทศของเราจะมีแต่คนที่เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองและคนรอบข้าง บุคคลอื่นๆที่เป็นเพื่อนร่วมชาติจะมีอนาคตอย่างไร หากคนที่เป็นผู้นำเพราะว่าเก่ง มีมันสมองที่จะคิดพัฒนาประเทศ แต่ไม่ใส่ใจในส่วนที่เป็นคนสว่นมากของประเทศ ผมไม่ได้กล่าวหานะครับว่า เงินเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ว่าการที่เราให้ความสำคัญว่าเงินมีค่ามากกว่าค่าของคนนั้น มันอันตรายต่อความมั่นคงของชาติมาก หากท่านมีลูกที่มีอายูระหว่าง 18-13ขวบ ท่านลองถามเขาดูว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เมื่อก่อน เราอาจจะได้ยินว่า ผมอยากเป็นตำรวจ อยากเป็นหมอ อยากเป็นพยาบาล แต่มาเดี๋ยวนี้ ร้อยละ 90 จะตอบว่าทำอะไรก็ได้ ขอให้ได้ตังค์มากๆ และรวยเร็วๆ ไม่สำคญว่าโตขึ้นมาแล้วจะเป็นอะไร

ท่านครับขอให้ช่วยสอนสั่งให้เยาวชนของไทย มีความนอบน้อมถ่อมตน รู้จักให้อภัย รู้จักมีมุทิตา คือให้รู้จักชื่นชมต่อความสำเร็จของคนอื่น ไม่ใช่รู้แต่อิจฉาริษยา อยากแต่ให้คนอื่นล้มเหลว จะได้ไม่มีคนมาเป็นคู่แข่ง ประเทศไทยจะได้ก้าวหน้าสู่ความเป็นอารยะประเทศครับ

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทองแท่งแบบที่ขายปลีกกันอยู่ในโลก


วันนี้อยากขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับทองคำแท่งที่มีการขายอยู่ในโลก ทั้งทางตะวันตก และทางตะวันออก โดยใจความสำคัญที่อยากจะสื่อให้ทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน คือลักษณะการขายของบรรดา dealer ต่างทั่วโลก ภาพแรกที่ผมเอามาให้ชมนั้น คือทองแท่งที่มีน้ำหนัก 1 ออนซ์ ออกโดยบริษัท เครดิตสวิส แต่เขาไม่ได้ขายในราคาทองที่มีการประกาศอยู่ในตลาดโลกหรอกนะครับ เขาจะต้องมีการบวก พรีเมี่ยม หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ค่าบล็อก การที่ประเทศไทย มีการขายทองแท่ง โดยไม่มีการคิดค่าการตลาด ทำให้ผลกำไรที่ร้านทองต่างๆควรจะได้ มีจำนวนน้อยมาก ซึ่งร้านทองหลายๆร้านเห็นว่าการขายทองแท่งกลายเป็นภาระ แทนที่จะเป็นการสร้างผลกำไรให้กับธุระกิจ ทองแท่งในรูปแบบอื่นที่มีการขาย และสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำในตลาดสากล มีในรูปของเหรียญที่มีสัญญลักษณ์ของประเทศต่างๆ แต่เป็นเหรียญที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ และราคาหน้าเหรียญมีราคาต่ำ เพื่อที่จะป้องกันมิให้ผู้ซื้อ ไปขึ้นเงินกับธนาคารของรัฐนั้นๆ
ผมอยากให้มีการสร้างเครือข่าย ของผู้แทนทางการค้า อย่างที่บริษัททองต่างชาติ ได้กระทำอยู่ในเวลานี้ คือท่านร้านทองตามต่างจังหวัด ทำตัวเป็นผู้แทนที่ไดรับอนุญาต จากร้านใหญ่ในกรุงเทพ ให้เป็นผู้แทนที่สามารถรับคำสั่งซื้อ หรือ คำสั่งขายทองคำแท่งในต่างจังหวัดได้ ผู้ที่อยากลงทุนในทองคำแท่งหรือในรูปแบบของเหรียญทองคำที่มี การผลิตในจำนวนจำกัด หรือที่เขาเรียกกันว่า Limited Editions อย่างเหรียญแพนด้าของประเทศจีน หรือ เหรียญอีเกิ้ล ของอเมริกา เขาผลิตออกมาจำนวนจำกัด
สินค้าเหล่านี้ ร้านทองต่างๆสามารถที่จะนำมาจำหน่ายให้ลูกค้า และแนวทางการลงทุนในอนาคตของประเทศไทย คงจะมีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางสากล เพราะว่าการที่ร้านทองนำทองคำแท่งมาขายในลักษณะที่ทำอยู่นี้ ไม่ได้มีการเพิ่มคุณค่าของทองคำเลย ลักษณะของตลาดก็จะเป็นแบบ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หรือแบบที่พวกสายป่านยาวๆจะอยู่ได้นานที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไรมากที่สุดนะครับ แต่จะเป็นผู้ที่ตายช้าที่สุด ร้านทองควรจะต้องเริ่มคำนึงถึงการที่จะเพิ่มคุณค่าให้กับทองคำ มิใช่ไปหาซื้อมาก้อนใหญ่ๆก้อนหนึ่งแล้วมาหั่น ซอยขายเป็นชิ้นเล็กๆ โดยที่ไม่ได้ไปคิดเพิ่มราคาให้เพียงพอแก่ค่าดำเนินการต่างๆ

ผมว่าเราน่าที่จะมาพัฒนาอุตสาหกรรมทองของประเทศไทย ให้เจริญก้าวหน้าให้ทัดเทียมอาณารยะประเทศต่าง ในโลกโดยการเริ่มเดินตามรอยเท้าของประเทศอื่นๆได้แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อนาคตของร้านทองตู้แดง ภาค 2


วันนี้ได้รับทราบมาจากเพื่อนๆหลายคนถึง อุปสรรคในการหาซื้อทองคำแท่ง เพราะว่าวันนี้เป็นวันสาร์ทจีน คนไทยเชื้อสายจีน จะมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษในตอนเช้า และตลาดทองในภูมิภาคอาทิ ที่ ฮ่องกงก็มีการหยุดทำการ(คาดคะเนเอาครับ) ทำให้ผู้นำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ไม่มีความมั่นใจในการเปิดรับออร์เดอร์ จึงหาโอกาศปิดทำการ เพื่อนๆคนใดที่เผอิญเข้ามาอ่าน บล็อก ในวันนี้ ขอให้ท่านทำใจให้สงบ คอยตรวจสอบราคาทองของโลกไว้ ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม การที่ร้านทองต่างๆปฏิเสทการขอซื้อทองแท่งนั้น เป็นการสร้างกระแส False Demand ให้กับตลาด ทำให้คนยิ่งอยากที่จะวื้อมากขึ้น อาจจะมีบางร้านที่กล้าที่จะรับจอง แต่นั่นหมายความว่าท่านจะต้องเดินทางไปเยาวราช เพื่อนำเงินสดไปให้เขา เพื่อที่เขาจะได้ออกใบรับทองซึ่งผมมั่นใจว่า ในวันนี้ ไม่มีร้านทองไหนกล้าที่จะเอาทองแท่งให้ท่านแน่ๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มี แต่เพราะว่าเขากลัวว่าท่านจะเอาไปขายในตลาด เนื่องจากตอนนี้ สมาคมเปิดราคาบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง โดยในขณะนี้หากมีการคำนวณจากราคาทองโลก ราคาทองในไทยควรอยู่ที่ บาทละ 12650 บาท ไม่ใช่ 12950 บาท ผมจึงอยากขอร้องให้ทุกท่านจงมีสติในการที่จะคิดคำนึงถึงความจริง อย่าให้ราคาในอดีต ที่ทองบาทละ 15000 บาทมาเป็นตัวสร้างกิเลส ทำให้ท่านต้องมีความเสียหาย ผมเชื่อว่าหากไม่มีคนไปรุมล้อม ขอซื้อทองจากร้านในเยาวราชในวันสองวันนี้ ราคาทองจะต้องลดราคาลงสู่สภาวะปรกติในเร็วพลัน
เลยลืมพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจมาเล่า เกี่ยวกับอนาคตของร้านทองตู้แดง ผมมีความเห็นว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะต้องปรับธุรกิจของเราให้เข้าสู่สภาวะ ที่สามารถแข่งขันกับนักลงทุนต่างประเทศ และร้านทองใหญ่บางเจ้าที่ทำตัวเป็น ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เพราะว่าในอนาคต ท่านร้านทองร้านใหญ่ที่ว่าแน่ๆ ท่านจะกลายเป็นปลาซิวปลาสร้อย เมื่อธุรกิจทองจากต่างประเทศเข้ามาอย่างเต็มตัว ปัจจุบัน ประเทศไทยเรายังมีกฎหมายบางฉบับที่คอยปกป้องร้านทองของเราอยู่ อาทิเช่น กฏหมายที่ยกเว้นภาษี VAT ในทองคำแท่ง และทองรูปพรรณที่มีความบริสุทธิ์เกินกว่า 96.5% โดยทางต่างประเทศมักจะผลิตทองรูปพรรณที่มีความบริสุทธิ์ 75% หรือเรียกเป็นทอง 18K ทำให้เขาต้องเสียพิกัดอัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 25-30% ทำให้เขาไม่สามารถที่จะต่อสู้กับเราในด้านราคาได้ และการรับซื้อคืน ทางต่างประเทศก็ไม่มีความรู้ว่า ประเพณีของคนไทยที่นิยมหาซื้อทองไว้เก็บสะสมนั้น เพื่อที่จะใช้เป็น Life saving for the Future ไม่ใช่ซื้อเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องประดับ หากมีนักลงทุนต่างประเทศ ได้มาทราบถึงจุดประสงค์ของลูกค้าในประเทศแล้ว ผมว่าเขาน่าจะปรับวิธีการลงทุนและการโฆษณาใหม่ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของร้านทองตู้แดง ลดลงและเริ่มตายไปอย่างช้าๆ จนไม่มีร้านทองไหนอยู่รอดจากทฤษฏี Red Ocean การปรับตัวอย่างไรนั้น ผมขอยกไปพูดในภาค 3 แล้วกัน วันนี้ คอยรับแต่โทรศัพท์ลูกค้าและเพื่อนๆ ก็ปวดหูจะแย่แล้วครับ

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Gold Future ผลกระทบต่อร้านทอง



มีเพื่อนถามมาเกี่ยวกับเรื่องที่ตลาด TFEX จะเปิดการซื้อขาย Gold Future ในวันที่ 22 กันยายน ปีนี้ ผมขอเรียนให้ทราบเลยว่า TFEX และ กลต ได้มีการคุย หารือ และกำหนดข้อตกลงกันแล้วแต่ ทางกลต ยังไม่ยอมบอกมาทางสมาคมค้าทองคำ โดยอ้างว่าต้องรอนำเรื่องเข้า Board เพื่อที่จะให้มีการอนุมัติก่อน ถึงจะออกมาแถลงให้สาธารณะทราบ ไม่ว่าทางสมาคมจะเพียรถามทาง กลต อย่างไร เขาก็ไม่ยอมบอกรายละเอียด ดังนั้นการที่เพื่อนถามถึงรายละเอียดของการซื้อขายนั้น ข้อมูลมากที่สุดที่ทราบมาคือว่า 1 สัญญา จะเป็นทองคำแท่งหนัก 10 บาท โดยจะเป็นการ quote ราคาที่ทองคำ 96.5% และเป็นการอิงราคาทองที่ทางสมาคมแจ้ง เมื่อมีการทำสัญญาแล้วจะต้องมีการวางเงินค้ำประกัน 10% ของราคาทั้งสัญญา ส่วนเรื่องการใช้ Clearing House และ Days of Settlement นั้นยังต้องรอการแถลงของ กลต แต่น่าจะเหมือนกับการซื้อขายหุ้น
ผลกระทบที่ทางสมาคมคาดว่าจะกระทบกับร้านทองโดยรวมนั้น จะกระทบต่อร้านทองที่มีการขายทองคำแท่งเป็นหลัก เนื่องจากทาง TFEX ได้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับผู้ลงทุนในทองคำแท่ง ผลการวิจัยมีว่า นักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายทองคำแท่งนี้ จะเป็นการเก็งกำไรราคาทอง และข้อที่นักลงทุนกังวลคือ การเข้ามาซื้อขายว่าต้องมีการใช้เงินสด และต้องมีการส่งมอบ ซึ่งนักลงทุนไม่สนใจเท่าไรนัก ทางการโดยกระทรวงการคลังเป็นหลัก ได้มีการหารือ และได้ออกความเห็นไปทางตลาดหุ้นให้มีการนำ Gold Future มาใช้เพื่อที่ประเทศจะได้ไม่ต้องเสียเงินตราต่างประเทศออกไป เมื่อมีคนซื้อทองคำแท่งมากๆ ที่ทางชมรมผู้ค้าปลีก และสมาคมค้าทองคำ โต้แย้งทางการว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมที่จะให้มีตลาดทองล่วงหน้า เพราะว่าตลาดล่วงหน้าจะต้องเป็นตลาดที่เกื้อหนุน ตลาดที่มีอยู่แล้วนั้นคือตลาดร้านทองตู้แดงที่มีอยู่ทั่วประเทศ แต่นี่ทาง TFEX ไม่ได้มองดูเลยว่าทางพวกเรามีกระแสว่าอย่างไร ทุกครั้งที่มีการประชุมร่วม ทางตลาด TFEX จะพูดเสมอว่าต้องการให้ร้านทองเข้าร่วม แต่เมื่อสมาคมถามไปว่า หากเราต้องการเป็น Broker ที่จะคอยรับคำสั่งซื้อขาย ทางเราต้องมีการเตรียมตัวอย่างไร ทาง TFEX กลับบอกว่า หากทางเราต้องการจริงๆ เวลาในการเตรียมตัวไม่พอแล้ว เราก็ได้แต่ขอความเป็นธรรมกับทาง ศสค แต่ทาง กลต กลับหนุนตลาด TFEX ว่านักลงทุนเป็นคนละพวกกัน ในความคิดผม หากเรามีเงินในกระเป๋าอยู่ 20000 บาท ถามใจตัวเราว่า ถ้าอยากลงทุนในราคาทองคำ ท่านจะกำเงินมาซื้อสร้อย หรือทองคำแท่งที่ร้านทอง ซึ่งท่านสามารถซื้อได้ 1 บาท หรือท่านจะไปที่ตลาด TFEX แล้วลงทุน เป็นน้ำหนักทองได้ 10 บาท โดยท่านสามารถวางเงินแค่ 10% คือท่านสามารถวางเงินที่มีค่าแค่ทอง 1 บาทเท่านั้น เป็นผนก็เลือกเข้าตลาดดีกว่า แต่การที่สังคมไปกระตุ้นให้คนเก็งแต่ราคาทองนั้น ทำให้ประเทศไม่มีการสร้าง GDP ประชากรก็คอยแต่ลุ้นให้ราคาทองเคลื่อนไหวไปตามทางที่ตัวเองคาดคะเน หากไม่เป็นดังที่ตัวเองคาด ก็จะต้องขาดทุน หรือบางที่ต้องมีการขาดทุน เพราะตลาดจะสั่ง Force Sell ถ้าท่านไม่ต้องการ ท่านก็ต้องมีการวางเงินค้ำประกันเพิ่ม Margin called ขอให้ทุกท่านคิดดูดีๆนะครับว่า ธรรมชาติของคนไทย ชอบและนิยมการเสี่ยงโชค แล้วตลาดล่วงหน้าก็คงจะกลายเป็น แหล่งที่ให้คนมาเสี่ยงโชค หรือกลายเป็นบ่อนการพนันดีๆนี่เอง
ปัจจุบันในตลาด TFEX มีการซื้อขายอะไรกันบ้าง ผมได้ถามทางตลาดก็ได้ทราบว่า มีการค้า Set Index Future ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคืออะไร แต่ทราบจากเพื่อนๆว่านั่นคือการเก็งกำไรล้วนๆ และในปัจจุบัน นักลงทุนตัวจริงได้ขาดทุนและหายไปจากตลาดแล้ว ที่มีอยู่เป็นนักเก็งกำไรเพียงพวกเดียวล้วนๆ

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเลี้ยงลูกให้เก่งและฉลาด พร้อมทั้งเตรียมตัวให้เป็นคนดีของสังคม



การที่ผมเน้นหัวข้อที่ว่า เราในฐานะที่เป็นพ่อและแม่ของลูก ที่จะเป็นทรัพยากรของประเทศ จะต้องมีหน้าที่ที่จะเตรียมตัวลูกให้พร้อมที่จะออกไปทำงาน เพื่อสร้างผลผลิตมวลรวมของชาติให้โตขึ้น การที่เรามีการฝึกให้ลูกมีวินัยทางการเงิน จะทำให้ลูกมีความต้องการที่จะอยากทำงาน ท่านที่เป็นผู้ปกครองท่านคงจะมีความชื่นใจที่ลูกเริ่มทำงาน และนำเช็คเงินเดือนๆแรกมามอบให้ นั่นแสดงว่าท่านได้สร้างกำลังสำคัญของชาติขึ้นมาอีกหนึ่งคน ไม่สำคัญหรอกว่าลูกคนนั้นจะต้องเป็นคนเก่ง แต่ตราบใดที่ลูกนั้นมีความพยายามที่จะทำงานให้ดี ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมีความตั้งใจที่จะทำตัวให้ดีขึ้น
ผมได้เห็นเด็กบางคนที่เรียนเก่งแต่มีความฝันว่า โตขึ้นอยากจะมีเงินมากๆ แต่อยากจะเป็นอะไรไม่สำคัญ ขอให้ทำงานสบายและได้เงินมากๆเป็นพอ ถ้าประเทศเรามีประชากรมากๆอย่างนี้ ประเทศเราจะไม่มีทางที่จะผลิตหรือสร้างอะไรได้ ท่านผู้ปกครองทุกท่านที่สร้างตัวเองขึ้นมา คงจะทราบนะครับว่าการที่เราจะได้เงินมานั้น ไม่ม่ทางลัด ทุกอาชีพจะต้องมีการลงทุนลงแรง และต้องอาศัยโชคบ้าง
เงิน ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ใครๆก็ต้องการเงินกันทั้งนั้น แต่การที่เราจะได้เงินมา ต้องมีกรรมวิธีต่างๆมากมาย มิใช่เงินจะหล่นจากฟ้าได้ ลองไปอ่านประวัติของคนที่ถูกล็อตเตอรี่ แล้วเราจะเห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นหลังจากที่ได้รับโชคแล้ว จะมีความรู้สึกเหมือนเป็นทุกขลาภ เพราะว่าเขาไม่สามรถที่จะใช้ประโยชน์จากเงินมากมายเหล่านั้น และถ้าเขากลับมามีชีวิตเหมือนเดิม เขาก็ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมได้ เปรียบเหมือนยาเสพติดที่ท่านได้เสพแล้ว ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไม่เสพอีก สิ่งที่เราควรจะฝึกฝนให้ลูกรู้สึกชื่นชมกับรายได้ที่เขาหาได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากและต้องอาศัยความมีวินัย มีหลายคนที่เมื่อเรียนจบ แล้วไม่ยอมออกไปทำงานเพราะว่า เงินเดือนที่จะได้น้อยกว่าเงิืนที่พ่อแม่ให้ตอนเรียนอยู่ หากต้องการเงินเดือนมากๆแล้วนายจ้างที่ไหน จะจ้าง เพราะว่าเขายังไม่มีประสบการณ์
ฉะนั้น ท่านผู้ปกครองทั้งหลาย ที่ขณะนี้ให้เงินรายเดือน กับลูกที่เรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย มากกว่า 6000 บาทต่อเดือนแล้วไซร้ ขอให้ท่านพยายามที่จะจำกัดการใช้เงินของลูกให้ต่ำกว่าเงินเดือนที่จะสตาร์ท โดยท่านต้องทำการบ้านโดยถามไปทั่วๆว่าในสายงานของลูกนั้น เงินเดือนเริ่มต้นคือเท่าไร แล้วอย่าให้เงินรายเดือน พร้อมกับเงินที่จะใช้ซื้อของอื่นๆอีก มากกว่าจำนวนนั้นๆ

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ภาพของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน จ่าทวี

ขอบคุณทุกท่านที่เข้าชมและแนะนำ ขณะนี้ผมพยายามที่จะใส่ภาพเพื่อเพิ่มสีสัน ในการอ่าน แต่มันติดตรงที่ผมมีความรู้ในการนี้จำกัด แต่จะพยายามครับ นี่ก็ได้ไป หาภาพสวยๆมาให้ชมกัน

หน้าประตู อาจจะดูไม่น่าเข้าเยี่ยมชม แต่ขอรับรองว่า ภายในนั้น คุ้มค่ากับตั๋วค่าผ่านประตู อย่าลืมให้ท่านมัคคุเทศน์ แสดงการใช้เครื่องมือพื้นบ้านให้ท่านดูนะครับ อย่างคำที่เราใช้กันอยู่ว่า สุ่มสี่สุ่มห้า ก็มีความหมายที่เมื่อเขาอธิบายแล้ว สามารถจำได้ขึ้นใจทีเดียว และคำว่า ฝังรกราก และ ดักลอบให้หมั่นกู้ เจ้าชู้ให้หมั่นเกี้ยว คำไทยๆเหล่านี้ เมื่อได้ฟังดูก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแต่ ถ้าได้ไปเห็นทั้ง ลอบ ทั้งการฝังรกในสมัยโบราณ และตัวสุ่มจับปลา ผมว่าโรงเรียนที่ยังใช้ตำราสอนเด็ก ควรที่จะทำการบ้านเพื่อที่จะนำของเหล่านั้นมาสอนเด็กๆไทย จะได้ฉลาดกัน

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

จัีงหวัดพิษณุโลก เป็นที่ที่ผมชอบมากๆครับ

สวัสดีครับทุกท่านที่พิษณุโลก ผมทราบว่ามีเจ้าของร้านทองที่นี่ให้ความสนใจใน Blog นี้ ผมขอชื่นชมเพราะแสดงว่าที่นี่ นักธุรกิจในอุตสาหกรรมทองของเรา กำลังมีช่วงอายุที่ลดลง คือมีคนรุ่นใหม่เข้ามาดำเนินกิจการมากขึ้น โดยดูจากความสนใจในเรื่อง IT ผมเคยเดินทางไปสักการะพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก และเลื่อมใสท่านมาก อุโบสถ มีการสร้างที่วิจิตร ภาพจิตรกรรมฝาผนังก็สามารถนั่งดูได้เป็นชั่วโมง โดยไม่เบื่อ จากที่เคยไปเที่ยวดูวัดในจังหวัดอยุธยา ผมทราบถึงข้อแตกต่างของการสร้างอุโบสถ และผมได้ไปสักการะสถานที่เคยเป็นพระราชวังของพระนเรศวรมหาราช และที่น่าประทับใจมากที่สุดที่ผมจดไว้ในบันทึกการท่องเที่ยว คือพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี เผอิญผมหลงทางและไปจอดดูแผนที่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ ผมเลยว่าไหนๆก็มาถึงแล้ว เข้าไปดูสักหน่อย และก็ไม่ผิดหวัง เพราะเราสามารถที่จะได้ดูเครื่องมือในอดีต ต่างที่เราได้เรียนแต่ในหนังสือ อาทิ ลอบจับปลา ที่เราเคยเห็นแต่ในภาพวาด แร้วดักนก ซึ่งผมไม่เคยแม้แต่ในภาพวาด ผมขอแนะนำเลยนะครับว่า ที่จังหวัดพิษณุโลก มีดีกว่าวัดพระศรีมหาธาตุ ที่เราจะต้องไปชม ชุมชนชาวบ้านก็มีอุปนิสัยน่ารัก และมีความเป็นมิตร หากถ้ามีคนท้องถิ่นได้เข้ามาอ่าน ผมขอความกรุณาช่วยแนะนำร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมในจังหวัด เพราะว่าผมมีความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนอีกในอนาคตอันใกล้นี้
I would like to introduce one of the best destiny for the international travelers. Pitsanuloke Province is one of the former capitals of Thailand. It is situated in the northern part of Thailand. There are several interesting spots such as Wat Pra Sri Mahatart where the most famous of Buddhist image is located. There are many more to visit such as the museum of Jar Tavee where you can see and experience all the old time instruments. The guides are very gentle and very lovely. The museum is losing money but the owner is still keeping it open. Thank you.

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เรื่องส่วนต่างระหว่างราคาซื้อขายของทองคำแท่ง

ผมได้รับความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมอาชีพ เกี่ยวกับค่า spread ของราคาทองคำแท่งที่ในปรเทศเรามีส่วนต่างอยู่ 100 บาท เหตผลที่ผมต้องการให้ส่วนต่างนี้ ถ่างออกไปเพราะว่าจากประสบการณ์ ที่ได้ซื้อขายกับทางผู้นำเข้าและจากร้านทองแท่ง เดิมทีร้านเหล่านี้จะคิดค่าส่วนต่างอยู่ 20 ถึง 30 บาทต่อน้ำหนักทอง 1 บาท เมื่อราคาทองคำแท่งอยู่ที่บาทละ 3000 บาท ต่อมาเมื่อราคาทองขึ้นมาอยู่ที่ บาทละ 7000 บาท ส่วนต่างก็เริ่มห่างออกเป็น 50 บาทต่อทองหนึ่งบาท แต่ส่วนต่างที่สมาคมแจ้งอยู่ก็ยัง 100 บาทอยู่ มาบัดนี้ราคาทองได้ขึ้นมาอยู่ที่ 13000 กว่าบาท ส่วนต่างของร้านทองแท่งปัจจุบันอยู่ที่ 80 บาทต่อทองหนึ่งบาท โดยที่สมาคมก็ยังแจ้งห่างกันอยู่ 100 บาทเหมือนเดิม ดพื่อนๆหลายๆท่านคงคิดว่าหากเราเพิ่มส่วนต่างออกให้มากขึ้น แล้วลูกค้าอาจจะหายไป ผมว่าท่านเกรงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่าเราต้องมาคิดว่า มีการลงทุนไหนที่เป็นคู่แข่งกับทองคำแท่งบ้าง ในขณะนี้ แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ และนักบัญชีที่เก่งกล้า อย่างท่าน สุวรรณ วลัยเสถียร ท่านยังพูดอยู่เสมอว่าทองคำแท่งนี้น่าลงทุน เพราะว่าคุ้มค่า ขณะที่นักบัญชียังกล้าที่จะแนะนำ ผมว่าเราตั้งราคาส่วนต่างแคบเกินไป
เพื่อนๆทราบไหมครับว่า ในต่างประเทศ ในตลาดค้าปลีกนั้น หากเราต้องการซื้อทองคำมาเก็บไว้เป็นทรัพย์สิน ท่านจะต้องจ่ายค่า premium เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากราคาทองที่ประกาศอยู่ และค่า premium นี้จะตกอยู่ในราว 30% ของราคาทอง ผมว่ามีแต่เมืองไทยเรานี่แหละที่ร้านทองมัวแต่ห่วงว่าจะขายไม่ได้ เขาเรียกวิธีนี้ว่า Cut Throat Strategy ซึ่งทั่วโลกเขาเลิกทำไปแล้ว ทองคำเป็นของที่ทุกคนอยากได้เป็นเจ้าของ ฉะนั้น ไม่ต้องไปกังวลเลยว่าคนจะไม่มาซื้อ เพราะส่วนต่างมากเกินไป ตราบใดที่ราคาทอง มีการเคลื่อนไหวมากพอที่นักลงทุนเห็นเป็นโอกาศ ที่จะเข้ามาทำกำไรได้ ต่อให้ห่างบาทละ 400 บาทก็เถอะ ผมประกันได้ว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาซื้ออย่างแน่นอน เพื่อนๆครับ ปัจจุบัน เวลาลูกค้าเข้ามาซื้อทองคำแท่ง เขาจะถามหรือว่าถ้าขายจะถูกหักเท่าไร ผมว่าไม่มีใครถามเช่นนั้น มีแต่จะถามว่าราคาสมควรซื้อหรือยัง ทองจะขึ้นเมื่อไร และทองมีขนาดเท่าไรบ้าง ผมว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่พวกเราร้านทอง ควรจะต้องห่วงตัวเองก่อนที่จะไปกังวลว่าลูกค้าจะไม่มาซื้อ ท่านคิดดูนะว่าลูกค้ามาซื้อทองแท่ง 100 บาท หากท่านต้องไปโป้วจากร้านทองแท่งด้วยเงินต้น 1395000 บาท ท่านจะได้กำไรแค่ 2500 บาทแค่นั้น มิใช่ 10000 บาทอย่างที่หลายคนคิด เพราะคงจะฟลุ๊คที่สุดที่มีคนเดินเข้ามาขาย และมีคนมาขอซื้อพอดี เพื่อนต้องพยายามป้องกันธุรกิจของท่านให้อยู่รอดก่อนนะครับ

การเลี้ยงลูกให้เก่งและฉลาด.....

กลับมาอีกแล้วหลังจากที่ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านทอง เลยลืมที่จะอับเดทเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกให้เก่งและฉลาด ผมมีข้อเสนอให้บรรดาท่านผู้ปกครองว่า หากท่านต้องการให้ลูกมีความอดทนจะได้เก่งและฉลาด ท่านต้องเอาตัวท่านกลับไปเป็นเด็ก แล้วคิดดูว่าสิ่งที่เด็กในวัยลูกของท่านต้องการอะไร สิ่งที่เราจะหาให้จะต้องเป็นสิ่งที่ลูก need มิใช่สิ่งที่ลูก want หากเราคิดไม่ออก ขอให้ท่านไปถามหาคนที่ยังมีความจำดี จะได้รื้อฟื้นความทรงจำ ขอให้ท่านอย่าคิดว่า เมื่อท่านยังเด็ก ท่านอยากได้สิ่งอะไร แล้วผู้ปกครองท่านไม่ซื้อให้ ทำให้ท่านไม่อยากให้ลูกมีความรู้สึกอย่างนั้น จึงเอาของต่างๆไปประเคนให้ลูก จนเขาไม่เห็นความสำคัญในของที่ท่านหาให้ ท่านอย่าไปกลัวว่า จะมีคนมาด่าหรือว่าท่านหากเขารู้ว่าท่านเลี้ยงลูกอย่างนี้ ผมมีตัวอย่างที่จะยกให้ท่านฟัง คือ ผมมีลูกสาวคนหนึ่งที่เรียนสถาปัตย์ และเพื่อนผมก็มีลูกชายที่เรียนสาขาเดียวกัน แต่อยู่คนละสถาบัน เราเคยมาถกปัญหากันเรื่องการใช้เงินของลูก ผมบอกกับเพื่อนว่า ผมให้เงินลูก เดือนละ 4500 บาท แต่ถ้ามีค่าอะไรพิเศษ ก็สามารถมาเบิกได้ เพื่อนเขาร้องลั่นว่า อยู่ได้อย่างไร เขาให้เงินลูกเดือนละ 9000 บาท แต่ลูกก็ไม่เคยใช้จนสิ้นเดือนเสียที ต้องมาขอเงินเพิ่มตลอด ผมก็ว่าลูกเขาอาจจะมีค่าซื้อของพิเศษ แต่เพื่อนบอกว่า ค่าของต่างๆ เขามาขอเบิกเพิ่มตลอด ผมว่าหากลูกใช้เงินเดือนละกว่า หมื่น แล้วเวลาเขาเรียนจบ ออกไปทำงาน มิได้เงินเดือนไม่พอใช้หรือ เขาก็เลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ลูกฟัง ลูกเขาบ่นอุบ แต่ก็ใช้เงินได้ดีขึ้น ผมจึงว่าการเลี้ยงลูกนี้ ต้องอาศัยเพื่อนๆคอยมาแชร์ความรู้ จะได้ทราบความเป็นไปในปัจจุบันครับ

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Thai Gold Bar....

In Thailand, there are several sizes of gold bar started with 5 Baht, 10 Baht, 20 Baht, 25 Baht, 50 Baht and 100 Baht. Investors can choose to purchase any size up to their satisfaction without any charge on melting. This is the advantage of Thai gold market because the premium has to be add to the price of gold to produce the smaller size of gold bar in other country. The price that is posted in the internet or the NYSE cannot be bought by the investors if they want to buy in retail. The world market price is for the big companies or the big investors to purchase through the brokers. No street investor can purchase of this. I had been in U.S.A. and Australia and I once went to the bank that had shown the gold price and asked to buy one once of gold. I was refused to that price but I had to pay about 15% premium on the price quoted. I had made argument that the bank had shown the price on the board and I demanded to buy on that price. I was brought to the manager and gave me a long conversation before they let me go. I can say that Thailand is the most and fairest place to trade gold. In the U.S.A., if we want to buy gold in retail, we have to buy the gold coin and pay the premium. We will not be able to buy gold bullion at the bloomberg price.
For the international investors who live in Thailand. I can recommend that you save your money in gold for about 25% of your saving. Gold can perform well in this near future and if the bank interest rate is reaching 12% per annum then you can liquidate all your gold into cash and put it in the bank saving account.

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่ได้รับฟังจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง......

วันนี้ผมได้ไปเข้าร่วมประชุมที่ สศค ซึ่งย่อมาจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อยู่ที่ซอยอารี ถนนพหลโยธิน โดยผมไปหลงทางอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง และยังต้องไปหาที่จอดรถ ผมขอเตือนทุกท่านที่จะไปติดต่อราชการที่กระทรวงการคลัง หรือหน่วยงานไหนก็ตาม ขอให้จอดรถไว้ที่ทำงานแล้วเรียกแท็กซี่ไป สะดวกกว่าและประหยัดกว่าด้วยครับ เอาละมาเริ่มในรายละเอียดกันดีกว่า
ในที่ประชุม ท่านผู้อำนวยการ สศค ดูมีท่าทีที่เข้าใจทางร้านทอง และอยากให้ทางร้านทองมีส่วนในตลาดล่วงหน้า แต่ทางตลาด TFEX โดยคุณเกศรา มัญชุศรี ซึ่งเป็นตำแหน่ง Managing Director มีความพยายามที่จะให้ตลาดนี้เกิด โดยทาง กลต ก็มีความเห็นเข้าข้างอย่างเห็นได้ชัด มีการพยายามให้ทางร้านทองไปจับมือกับพวกธนาคาร หรือบริษัทหลักทรัพย์ เพราะเขาอ้างว่า การที่ร้านทองจะเซ็ทอัพระบบเพื่อที่จะขอเป็นตัวแทนรับคำสั่งซื้อขาย จะต้องมีต้นทุนสูงมาก ไหนจะต้องมีการไปซื้อไลเซ่นของซอฟแวร์ ที่จะมาใช้ในการรับคำสั่ง และไหนจะต้องหาพนักงานไปอบรมเพื่อที่จะสอบให้ได้ใบอนุญาตเป็น Broker ซึ่งการที่จะหาคนที่ควอลิฟาย ให้มาทำงานนี้ี้นั้นต้องได้รับการอนุญาตจาก กลต และจาก TFEX มิใช่หาเด็กที่จบจากมหาวิทยาลัยแล้วมาทำงานได้ ทางสมาคมพยายามที่จะอธิบายให้ทาง สศค และ หน่วยงานต่างๆของรัฐทราบว่า ทางผู้ประกอบการร้านทองทั่วประเทศ ยังไม่ทราบถึงรายละเอียด และการที่จะประกาศหรือสื่อสารให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศ ได้ทราบถึงรายละเอียด และพร้อมที่จะมีคำอธิบายแก่สาธารณะชนนั้น ต้องใช้เวลา การที่ทางตลาด TFEX ได้ประกาศออกไปสู่สาธารณะว่าจะ launch สินค้านี้ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าในวันที่ี 22 กันยายน ปีนี้จะเป็นการกีดกันผู้ประกอบการมิให้มีส่วนในประโยชน์ ของตลาดล่วงหน้านี้ ทั้งๆที่ทาง กลต และทางตลาด TFEX ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวว่า การที่มีตลาดล่วงหน้านี้ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการร้านทอง มันเหมือนเป็นการหลอกให้ผู้ประกอบการยอมรับในตลาดที่ตัวเอง ไม่สามารถที่จะไปมีส่วนร่วมด้วยได้ เช่นเดียวกับตลาดการเกษตรล่วงหน้า ที่เปิดมาแล้วไม่มีผู้สนใจ โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเลือกทองคำมาเป็นสินค้าในตลาดนี้ ได้ทราบจากเพื่อนว่าปัจจุบันตลาด TFEX กำลังแย่เพราะว่าไม่มีสินค้าที่น่าสนใจมาให้ค้าขายกัน ทางตลาดจึงพยายามที่จะหาสินค้าที่คนส่วนมากสนใจ ก็บังเอิญราคาทองคำกำลังมีการเคลื่อนไหวอย่างมาก จึงไปเข้าตาของตลาด ผมได้ลองถามว่าทำไมไม่เอาเงินเม็ดก่อน เขาตอบว่าเนื่องจากเงินไม่น่าสนใจ และสาธารณะชนไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าทองคำ ทางตลาด TFEX บอกมาว่าจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดล่วงหน้า ในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ ที่ตลาดหลักทรัพย์ ถ้าผมทราบรายละเอียด ผมจะไปบอกที่เวบร้านทองนะครับ

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การประชุมระหว่างสมาคมกับก.ล.ต.

วันนี้ได้มีโอกาศไปประชุมกับ ก.ล.ต. ณที่ทำการของคณะกรรมการกำกับและดูแลตลาดหลักทรัพย์ มีท่านนายกสมาคม และคณะกรรมการสมาคมไปกันหลายท่าน และยังมีชมรมผู้ค้าปลีก ร้านทอง โดยมีตัวแทนจากชมรมได้เข้าประชุมก่อนในช่วงเช้า ทาง ก.ล.ต. นำโดยท่านผู้ช่วยผู้ว่าการ มาเป็นประธาน แต่เนื้อเรื่องจะดูเสมือน เป็นการแจ้งให้ทราบ เพราะว่าทางสมาคมพยายามที่จะอธิบายถึง ผลกระทบถ้ามีการนำตลาดทุนของอุตสาหกรรมทองภายในประเทศ ไปผูกเข้ากับตลาดหุ้น เนื่องจากทาง ก.ล.ต. จะให้ทางร้านทองทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำ หรือไปร่วมกับทางบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งในที่นี้คงจะหมายถึงบรรดาธนาคารต่างๆ หากเป็นเช่นนั้น ผมมีความเห็นว่า ทางพวกเราร้านทองคงจะแย่แน่ๆ เพราะว่าตามข้อแม้ที่ทาง ตลาด TFET กำหนดเงื่อนไขให้เป็น Broker นั้น คงจะไม่มีใครมีเงินพอที่จะไปจ่ายให้เขา เพื่อที่จะเป็นตัวแทนรับคำสั่งซื้อขาย สุดท้ายเราก็กลายเป็นเครื่องมือของธนาคาร ที่เขามีเงินมากกว่า และเขามีระบบต่างๆที่ได้เซ็ทไว้เรียบร้อยแล้ว และทางเขาพร้อมที่จะเริ่มตลาด Gold Future ทางชมรมผู้ค้าปลีกได้มีข้อคิดที่น่าสนใจมาก คือว่าผลกระทบที่จะเกิดกับสังคมและสิ่งที่ดีงามในประเทศ เนื่องจากว่าสังคมไทยของเรามี วัฒนธรรมที่น่ารักและสมควรแก่การอนุรักษ์ไว้ เมื่อคนเริ่มที่จะทำงานแล้วมีรายได้ เขาจะนำรายได้ส่วนหนึ่งมาซื้อทองเก็บไว้เป็นทองก้นถุง หากมีการเปิด Gold Future จะเป็นการทำให้คนเปลี่ยนลักษณะการออมเป็นการ speculate ราคาทองซึ่งสิ่งนี้ สมาคมมองแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ โดยดูจากประเทศอื่นๆที่เคยมีแล้วต้องปิดไปเช่น ประเทศ ฮ่องกง สมาคมได้มีการปรึกษาและเห็นว่าการที่ตลาด TFET มองไปที่ความต้องการของผู้ที่อยากลงทุน และพยายามหาสินค้ามาให้นักลงทุนนั้น ไม่เป็นการที่สมควร เพราะว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้้นนั้น จะมีผลไปทั่วทั้งประเทศ ประชาชนจะหมกมุ่นอยู่กับการเก็งเพื่อหากำไร ประเทศก็จะไม่มีการเพิ่มของ GDP เพราะว่าตลาด Gold Future นี้เป็น Zero Sum Gain หมายความว่า ไม่มีการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในประเทศ จะต้องมีผู้ที่กำไร และผู้ที่ขาดทุน ไม่มีการผลิตใดๆขึ้น ประเทศจะตกอยู่ในภาวะที่ประชาชนทุกๆคนมุ่งเน้นแต่การเก็งกำไร
พรุ่งนี้จะมีการไปพบกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อที่จะปรึกษาเกี่ยวกับผลกระทบต่อสภาวะการเงินภายในประเทศ ผมหวังว่า ทางสศคจะรับฟังเรามากกว่า กลต แล้วจะมาเล่าต่อนะครับ

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การลงทุนในทองคำแท่ง..ความเห็นที่แตกต่าง...

จากการที่ได้ไปเยี่ยมชมบทความต่างๆทีมีการพูกถึงเรื่องการลงทุนในทองคำแท่ง ผมขออนุญาตวิเคราะห์และสรุปใจความใหญ่ๆได้ดังนี้
เรื่องแรกที่มีคนพูดกันมากคือ การลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงนั้น มีความยากลำบากในการขนย้ายและการเก็บรักษา เนื่องจากคนส่วนมากไม่เคยเห็นทองคำแท่งจริงๆ แต่มักจะเห็นจากโฆษณาทางโทรทัศน์ เลยมีความคิดไปว่าทองคำแท่งนั้นมัน Bulky เก็บรักษายาก ผมขอเรียนให้ท่านนักลงทุนทราบเลยว่าข้อมูลที่ท่านได้มานั้นไม่เป็นความจริงเลย ทองคำแท่ง 96.5% ที่มีขายกันอยู่นั้น หากท่านจะหาซื้อสัก 10 บาท จะมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่านิ้วชี้ของท่าน ดังนั้นการหาที่เก็บ ผมว่าจะง่ายกว่าการที่ท่านจะเก็บรองเท้าสักคู่เสียอีก ส่วนเรื่องการขนย้ายนั้น ขอแค่ท่านมีกระเป๋ากางเกงที่เย็บอย่างดีเท่านั้น ท่นก็สามารถใส่ไว้ในกางเกงหรือในกระเป๋าสะพายของท่านได้ เท่าที่ผมประสบมา คนเราจะวิตกไปเองว่าคนอื่นจะทราบว่าเรากำลังขนของมีค่า แต่การตีค่าของของนั้น เราไปประเมินค่าของมันไปเอง ทองคำแท่งก็เปรียบเสมือนเงินสดที่ท่านพกอยู่ในกระเป๋าเงิน ถ้าท่านไม่กังวลเกี่ยวกับเงินสดในกระเป๋า ท่านก็ไม่มีความจำเป็นที่จะไปกังวลกับทองแท่งที่กำลังพกอยู่
ข้อเสียอื่นๆที่สถาบันการเงินพยายามพูดเพื่อให้นักลงทุนมีความกลัวในการถือทองคำแท่งอีกอันหนึ่งคือ การที่เมื่อท่านต้องการขาย จะมีความยากลำบากในการที่จะต้องขนเงินสดไปมา อาจจะเกิดอันตราย เรื่องนี้ก็มีส่วนที่จริงอยู่บ้าง แต่มีนักลงทุนท่านไหนที่ปฏิเสทว่าไม่ชอบที่จะรับเงินสด ใครๆก็ชอบเงินสดกันทั้งนั้น และเดี๋ยวนี้ ร้านทองจะมีบริการพิเศษในการนำเงินของท่านไปเข้าธนาคารให้ โดยที่ท่านนั่งรออยู่ในร้าน ไม่ต้องออกไปธนาคารด้วยตัวท่านเอง เพียงแต่นำเบอร์บัญชีและชื่อแบงก์ไปเท่านั้น แล้วนั่งรอใบ pay-in slip สะดวกและปลอดภัยครับ

เรื่องเกี่ยวกับหน่วยลงทุนของกองทุนที่ผูกกับราคาทอง

วันนี้ผมได้ไปพบเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง ท่านได้สอบถามผมเกี่ยวกับการลงทุนซื้อทองคำแท่งซึ่งผมก็ได้อธิบายเหมือนกับที่ผมได้พูดไปใน บล็อกนี้ แต่ท่านมีคำถามว่าแล้วที่ท่านไปซื้อหน่วยลงทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ โดยมีระยะสัญญา 1 ปีห้ามไถ่ถอนก่อนครบกำหนด โดยมีผลตอบแทนให้ 9% ต่อปี ผมเลยถามกลับไปว่าแล้วธนาคารมีข้อแม้อะไรบ้าง เนื่องจากว่าไม่มีทางที่ธนาคารชั้นนำจะให้ผลตอบแทนถึง 9% ต่อปีอย่างแน่นอน ท่านผู้นั้นได้อธิบายให้ผมฟังว่า หน่วยลงทุนนี้ ยึดราคาทองคำตอนทำสัญญา โดยราคาทองที่ทำนั้นใช้ราคาทองของตลาดโลก และหน่วยราคาคิดเป็นเงินสกุล ออสเตรเลีย เมื่อครบสัญญาหากราคาทองคำของโลกมากกว่าวันที่ซื้อ ธนาคารถึงจะให้ผลตอบแทน 9% ต่อปีโดยไม่คำนึงว่าทองจะขึ้นไปเท่าไร แต่หากราคาทองไม่ขึ้น ธนาคารจะรับประกันแค่เงินต้นโดยไม่มีผลตอบแทน พอผมฟังได้เท่านี้ ผมก็หัวเราะออกมาดังๆเลยครับว่า พี่คนนี้โดนแล้วครับ เพราะว่าเท่าที่เราทราบและสังเกตดูตลาด พี่ท่านนี้ไปซื้อตอนราคาทองอยู่ที่ $970/oz ราคาทองขนาดนี้โอกาศที่จะขึ้นมากกว่านี้มีแต่น้อยมาก และเวลาทองขึ้นจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น เนื่องจากมีธนาคารกลางของหลายประเทศที่รอจะขายอยู่ที่ราคา $1000/oz ผมว่าธนาคารนั้นได้ทำการบ้านมาอย่างดีแล้วครับเพราะว่าธนาคารมีนักเศรษฐศาสตร์อยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นไปได้ที่เขาคิดมาแล้วว่าธนาคารมีโอกาศสูงที่จะจ่ายแค่เงินต้น
ผมได้ตั้งคำถามอีกว่า หากราคาทองขึ้นก่อนที่จะครบ 1 ปี และเราอยากที่จะขายหน่วยลงทุนละ ธนาคารจะยอมให้เราแปรสภาพหน่วยลงทุนไหม ผลคือ ไม่ได้ครับ ต้องรอให้ครบ 1 ปีเต็มถึงจะคืนหน่วยลงทุนได้ ท่านผู้ใดอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ลองไปติดต่อธนาคารไทยพาณิชย์ดูนะครับ เผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น