วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เมื่อสงสัย...เมื่ออยากรู้...แล้วทำไมไม่ถาม (เรื่องการศึกษา)

สวัสดีครับเพื่อนๆผู้ปกครองของน้องที่กำลังศึกษาอยู่ มีหลายท่านที่มีความสงสัยในเรื่องการศึกษา และได้ส่งคำถามมาหาผม แต่ส่วนมากปัญหาต่างๆนั้น มันเลยช่วงเวลาที่จะวางแผนปฏิบัติไปแล้ว อาทิเช่น การที่มาปรึกษาถึงเรื่องการเอาลูกเข้าโรงเรียนชั้นนำต่างๆ ที่ผมเคยเขียนมาในบทความแรกๆ แต่มาตอนที่เขาสอบคัดเลือกไปแล้ว ผมละจนใจจริงๆ การที่จะให้ผมแนะนำวิธีที่ต้องอาศัยวิทยายุทธ กำลังภายในที่จะไปบีบให้ทางโรงเรียนต้องรับลูกของท่านนั้น ผมค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วย ผมอยากให้ท่านติดต่อเข้ามาแต่เนิ่นๆ ดั่งเช่น ท่านมีลูกอายุประมาณ 3-4 ปี และมีความตั้งใจที่จะเอาลูกเข้าเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญ ท่านควรติดต่อมาแต่เนิ่นคือ ขณะที่ลูกเรียนอยู่ในชั้น อนุบาล 2 เทอมต้น เพื่อให้ท่านมีเวลาในการวางแผน ไม่ใช่ลูกของท่านกำลังเรียนอยู่ในชั้นอนุบาล 3 เทอมต้น แล้วจะไปทำอะไรได้ เพราะว่าเวลานั้น ผู้ปกครองทุกท่านก็กำลังวิ่งเส้นกันอยู่ทั้งนั้น หากท่านเป็นคนธรรมดาที่ ไม่มีคนรู้จักเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษา หรือเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าของโรงเรียนนั้นๆ ผมว่าท่านต้องมองหาโรงเรียนอื่นได้แล้วครับ โอกาศของท่านจะริบหรี่มาก แต่หากท่านได้พยายามเดินเรื่องแต่เนิ่นๆ มากกว่าคนอื่นเป็นปี ท่านก็จะมีโอกาศที่ดีที่ลูกจะได้รับเข้าเรียน การเตรียมตัวก็มีทั้งการเอาลูกไปกวดวิชา ใช่ครับเด็กอนุบาลก็ต้องกวดวิชาเหมือนกัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสอบ

จากนั้นท่านก็ต้องเริ่มดำเนินการสานสัมพันธไมตรีกับทางโรงเรียน โดยการไปช่วยงานต่างๆ ไม่ใช่ส่งแต่เงินไปนะครับ แต่ท่านต้องไปช่วยทำงานในสมาคมผู้ปกครอง โดยการทำในสิ่งที่ท่านถนัด หรือเป็นฝ่ายจัดหาทุน ซึ่งฝ่ายนี้มีหน้าที่หาเงินให้โรงเรียนอย่างเดียว แล้วก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า จะทราบได้อย่างไรว่า เมื่อเราได้ไปบำเพ็ญประโยชน์ให้กับทางสถานศึกษาแล้ว เขาจะรับลูกของท่าน ขอตอบว่า ไม่มีการสัญญาใดๆทั้งสิ้น แต่ท่านต้องลงทุนทำสิ่งที่เป็นกุศล เพื่อที่สิ่งนั้นจะได้มาออกผลที่ลูกของท่านครับ ผมอยากเรียนให้ท่านทั้งหลายทราบนะครับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะศรัทธากับการทำบุญ แต่มีอยู่หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาศที่จะทำการกุศล โดยที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน คือมีครูต่างจังหวัดมาหาและขอให้ผม ซึ่งไม่รู้จักครูทื่านนี้มาก่อน ช่วยจัดหาอุปกรณ์การเรียน อาทิ ดินสอ ปากกา สมุด ยางลบ เป็นต้น เพราะว่าทางราชการให้มาแต่ตำราการเรียน แต่ไม่ได้ส่งสิ่งของอย่างอื่นมาให้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยจึงให้เด็กไปจัดหามาให้ จากนั้น ทางโรงเรียนก็ได้ส่งจดหมายขอบคุณ แล้วลงลายมือชื่อเด็กมาให้ แค่นั้นผมก็ชุ่มชื่นหัวใจแล้ว แต่คงจะเป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้จึงส่งผลให้ บรรดาลูกๆของผมเป็นเด็กเรียนดี ค่อนข้างเก่งทีเดียว ผมจึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า การคิดที่จะทำความดี ไม่มีการการันตีผลตอบแทนหรอกครับ แต่ความดีนั้นๆจะส่งผลบุญมาที่ท่านและครอบครัว ช้าหรือเร็วแล้วแต่บุญกรรมของท่านเองครับ

จากที่พบมา ร้อยละ 90 ที่ท่านผู้ปกครองที่ได้ไปรับใช้โรงเรียนอย่างเต็มใจนะ ลูกมักเข้าได้ครับ

ในบรรดาโรงเรียนที่เข้ายากที่ผมเคยเอ่ยนามไปแล้วนั้น ทุกแห่งจะมีการเปิดประเภทเด็กที่มีอุปการะคุณกับทางสถานศึกษา แต่ว่า โควต้านี้ จะมีอยู่เพียง 10% ของจำนวนนักเรียนที่รับเข้าศึกษา ส่วนมากเด็กของผู้ที่มีชื่อเสียงมักจะได้ก่อน ต่อจากนั้นก็จะเป็นเด็กของพวกคหบดีใหญ่ๆ ต่อจากนั้นก็จะมาถึงท่านที่ช่วยโรงเรียนนี่แหละครับ หลายๆท่านอาจจะรู้สึกท้อแท้ว่า ตัวเองไม่ใช่คนสำคัญ ไม่มีเงินทองมากมาย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทางโรงเรียนใช่เป็นมาตรฐานวัดว่า เด็กคนไหนถึงเข้าเรียนได้ครับ ความเอาใจใส่ต่อโรงเรียน และความสนใจในการศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งครับ

สิ่งสำคัญที่ท่านผู้ปกครองต้องทำคือ ท่านต้องหาครูที่จะมาเป็นติวเตอร์ให้กับลูกของท่าน ครูที่ท่านจะเลือกต้องมีคุณสมบัติที่เคยติวเด็ก และสามารถสอบเข้าโรงเรียนที่ลูกท่านจะเข้ามาแล้ว การที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าครูมีมากมาย แต่จะมีครูเพียงไม่กี่ท่านที่ คอยติดตามดูการสอบเข้าของโรงเรียนดังๆ และมีการตระเตรียมข้อสอบเก่าๆ เพื่อที่จะให้เด็กทดลองทำ การที่เด็กได้เคยผ่านการฝึกฝนให้ทำข้อสอบแต่เนิ่นๆนั้น ก็ทำให้เด็กไม่ประหม่าเวลาที่เข้าสอบจริง สำหรับเรื่องรายชื่อของครูนั้น ท่านต้องทำการบ้านเองนะโดยการสอบถามจากเพื่อนๆที่มีลูกเรียนอยู่ก่อนแล้ว ครูดีๆหายากครับ ค่าจ้างไม่แพงหรอกครับ ครูเหล่านี้มีความตั้งใจที่จะนำพาลูกๆของเราให้เข้าเรียนในที่นั้นๆได้ แต่ท่านต้องหาให้เจอครับ

ต่อจากนั้นท่านต้องมีการติดต่อกับทางโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ หลายท่านจะถามว่าทำอย่างไร ผมเองก็เคยเจอปัญหาประเภทนี้มาแล้ว และนอกจากลูกของตัวเองแล้ว ยังมีลูกของพี่สาวเอย ลูกของน้องชายเอย ลูกของเพื่อนอีก จนทางโรงเรียนนึกว่าผมมีอาชีพพาเด็กเข้าโรงเรียน เดินเข้าไปทีไรโดนมองหน้าแปลกๆทุกที ตอนหลังพอลูกจบจึงได้เลิกครับ วิธีที่จะเข้าไปติดต่อคือ ท่านต้องไปสอบถามว่า ทางโรงเรียนมีงานโรงเรียนในวันไหนบ้าง ทุกโรงเรียนจะมีวันที่จะจัดงานออกร้าน เพื่อหาทุนต่างๆ และมีการขายบัตรการแสดง มีการจัดแข่งโบวลิ่ง หรือการจัดแข่งแรลลี่ เป็นต้น ท่านต้องหาเวลาพาลูกไปอย่างสม่ำเสมอ และท่านต้องพาลูกไปหาท่านอธิการด้วยนะหรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นอาจารย์ใหญ่ ไปเรื่อยจนกว่าทางโรงเรียนจะจำชื่อคุณได้ครับ















กิบัติไปแล้ว

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ